June 12, 2020

คุณวิเศษของการทำสมาธิ

หากจะพูดถึงกลไกธรรมชาติที่น่ามหัศจรรย์ของมนุษย์ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึง ร่างกาย และ จิตใจ ที่ทำงานสัมพันธ์กันอย่างดี ทำให้มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

ในปี พ.ศ. 2541 องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ให้ความหมายของคำว่าสุขภาวะ (Health) ไว้ว่า หมายถึง “ภาวะที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ ความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคม และสุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงปราศจากโรคและความพิการเท่านั้น” ทำให้เห็นว่ามุมมองที่มีต่อสุขภาพกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาขีดความสามารถและการดูแลรักษาสุขภาพนั้น ต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีวิธีการต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพราะยังเป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นลักษณะนามธรรม แต่พบว่ามีวิธีการหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือ “การทำสมาธิ” ซึ่งมีความพยายามนำมาอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ และจากงานวิจัยต่างๆ ได้แสดงให้เห็นป็นที่ประจักษ์ว่า สมาธิเปรียบเสมือนวิธีในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกๆ องค์ประกอบ ตามคำจำกัดความของสุขภาวะ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

สำหรับตัวผู้เขียนเมื่อปัจจัยต่างๆ เกื้อหนุนกันมากพอ จนทำให้วันหนึ่งผู้เขียนเกิดความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จึงได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะวิธีการดับทุกข์หรือ อริยสัจสี่ เมื่อได้ศึกษาและใคร่ครวญมากพอ จึงเกิดศรัทธาและได้เริ่มปฏิบัติจริง ต่อมาได้ตัดสินใจสมัครเข้าอบรมหลักสูตรวิทันตสาสมาธิ รุ่นที่ 9 สาขา 175 เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองได้ใคร่ครวญธรรมะอย่างต่อเนื่อง และได้ฝึกปฏิบัติสมาธิร่วมกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ซึ่งในขณะที่ใช้วิธีการพิจารณากายในกายนั้น ทำให้เกิดการคลายกำหนัดยึดถือ ทำให้อารมณ์ต่างๆ ดับไป และจิตเริ่มเป็นสมาธิ รับรู้ถึงลมหายใจที่ละเอียด และเกิดปิติตามมา โดยพยายามประคองความรู้สึกถึงความว่างนี้ไว้จนครบ 30 นาที และหลังจากออกจากสมาธิก็ได้แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ไปทั่วทุกทิศ การปฏิบัติดังกล่าวเกิดผลดีแก่ผู้เขียนดังนี้

1. นอนหลับสนิท ทำให้หลังตื่นนอนจะรู้สึกเป็นสุข เบิกบานใจ ทำให้ค้นพบว่ามนุษย์สามารถสร้างความสุขได้ด้วยตนเองและเป็นความสุขที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้จากสิ่งภายนอก

2. มีสติมากขึ้น เช่น ในการรับประทานอาหารจะไม่รับประทานอิ่มจนเกินไป เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่ค่อยเจ็บป่วย และทำให้มีผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ได้รับทุนการศึกษา สร้างความภาคภูมิใจให้ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หากมีอารมณ์ที่ไม่ดีมากระทบ ก็สามารถละทิ้งความรู้สึกลบนั้นและมีสติกลับมาตั้งอยู่ ณ ฐานที่ตั้งของจิตได้โดยง่าย

3. มีอารมณ์เบิกบาน ปลอดโปร่ง แจ่มใส เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ สามารถปล่อยวาง ไม่ยึดติดหรืจมอยู่กับความทุกข์​

4. มีความสุข เพราะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับผู้อื่น ทำให้โลกรอบข้างดูสดใสมีชีวิตชีวา เหมือนสิ่งต่างๆ กำลังส่งยิ้มมาให้ ทำให้ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่พร้อมจะส่งไปให้คนรอบข้างได้อย่างจริงใจ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนออกมาจากจิตใจภายใน จึงดึงดูดให้ผู้คนรอบข้างอยากเข้ามาทำความรู้จัก

5. คลายความเครียดหรือความวิตกกังวล เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้เขียนมีลักษณะเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง แต่จากการทำสมาธิ ทำให้พัฒนาเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น คือไม่อาลัยอาวรณ์กับอดีตนักหรือวิตกกังวลกับอนาคตมากจนเกินไป ซึ่งเกิดจากการรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

6. มีเมตตา กรุณา มากขึ้น ทำให้นึกถึงผู้อื่นและส่วนรวมมากขึ้น จึงได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นสวัสดิการนักศึกษาซึ่งตอนนั้นแม้การทำหน้าที่นี้จะต้องใช้ความอดทนมากแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และหากมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่นก็จะพยายามถ่ายทอดให้พวกเขาเข้าใจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด รวมถึงเมื่อต้องตัดสินใจทำสิ่งใดก็จะพิจารณว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่นด้วยเช่นกัน

7. ลดอัตตา เพราะจะมองทุกอย่างเป็นองค์รวมว่ามีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และเห็นตนเองเป็นกลไกเล็กๆในธรรมชาติที่การตายจากไปนั้น ไม่ได้มีผลต่อธรรมชาติแม้แต่น้อย เพราะธรรมชาติก็ยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ ทำให้ไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางเมื่อเกิดปัญหาหรือความทุกข์ใจใดๆ จะสามารถกลับมาพิจารณาในส่วนนี้ได้

8. เป็นบุญกุศล ที่ได้จากการละเว้นจากความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล จึงสามารถแผ่บุญกุศลและแผ่เมตตาให้กับทุกสรรพสัตว์ทั่วทั้งสากลโลกได้

กล่าวได้ว่าจากการปฏิบัติสมาธิที่ผ่านมาของผู้เขียนนั้น สามารถสร้างคุณวิเศษที่ส่งผลดีให้กับสุขภาวะครบทุกองค์ประกอบตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลก ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ และหากทุกคนบนโลกใบนี้ร่วมกันสร้างคุณวิเศษจากสมาธิเพียงแค่เปลี่ยนตนเองให้เริ่มปฏิบัติจริง เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ร่วมกันได้ โลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสงบและความสันติสุขยิ่งขึ้นไป

ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยัง สิรินธฺโร ที่ได้เมตตาเผยแผ่หลักสูตรสมาธิไปทั่วทุกย่อมหญ้า เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้พบเจอกับหนทางสว่าง สามารถพึ่งพาตนเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ และขอขอบพระคุณครูผู้สอนและครูพี่เลี้ยงทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์นี้ ให้สามารถดำรงอยู่และแผ่ขยายกว้างไกลไปในอนาคต

หากใครสนใจเข้าร่วมการเรียนหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยัง สิรินธฺโร สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่

https://www.youtube.com/watch?v=MrIUO-AwZR4

https://web.facebook.com/SomsakTrungjitrarat/


ภาพบรรกาศตอนเรียนหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อฯ สาขามหิดล

เมื่อมาถึงก็จะมาเจอครูพี่เลี้ยงเสื้อฟ้ามารอต้อนรับอยู่แล้วให้เรามาลงทะเบียนก่อนเข้าเรียนทุกครั้งค่ะ
ปกติจะเริ่มเรียน 18.00 น. บอกเลยว่าต้องมาก่อนเวลาสัก30นาทีเพื่อมาทานข้าวเย็นพรีเมี่ยมที่นี่ เพราะอาหารทำโดยผู้ที่มีจิตใจเมตตาก็จะใส่ใจรายละเอียดของอาหารเป็นพิเศษคือต้องครบห้าหมู่ทุกมื้อ

และแน่นอนว่าที่นี่เขาเน้นผักผลไม้เป็นพิเศษ เพราะสมาชิกหลายๆท่านก็เป็นผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่สมาชิกที่เรียนอยู่เป็นผู้นำมาบริจาคแบ่งปันกันเอง น่าร๊ากกกมากๆค่ะ

วัฒนธรรมการทานอาหารแบบยืนจะได้รับความนิยมมากสำหรับที่นี่ เพราะส่วนใหญ่ชาวสมาชิกจะนั่งกันมาทั้งวันแล้วยืนทานอาหารก็รู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบค่ะ

หรือจะมานั่งทานที่มุมนี้ก็จะได้ชมวิวสวยๆในมหิดลด้วยค่ะ

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลามาเพิ่มอาหารให้กับสมองบ้าง วันนี้เรียนหัวข้ออะไรน้าาา ตื่นแต้วจุม อิอิ

ที่นี่เขาก็จะมีให้เราฝึกปฏิบัติด้วยหลังเรียนทฤษฎีเสร็จแล้ว นี่ก็กำลังเดินจงกรมอยู่จ้าาา

ทุกวันศุกร์ก็จะมีสวดมนต์ด้วยค่ะ ได้อิ่มบุญแล้วก็บริหารกล่องเสียงด้วย อิอิ

และจุดไคลเม็กซ์ก็คือ การนั่งสมาธิด้วยกัน 30 นาที ค่ะ ถือได้ว่า ทั้งอิ่มท้อง อิ่มความรู้ และยังอิ่มบุญอีกด้วย ว้าววววว

นอกจากนี้ก็ยังมีครูพี่เลี้ยงรุ่นก่อนหน้านี้มาช่วยเหลือและดูแลพวกเราชาวสมาชิกเป็นอย่างดีมากๆๆ (ก.ไก่ล้านตัวเลยค่ะ) พี่ๆน่ารักมากๆค่ะ ที่หลายๆคนมาเรียนต่อเนื่องได้บอกเลยว่าส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากความน่ารักของพวกพี่ๆนี่ละค่าาาา

เจอเพื่อนหัวใจและวัยเดียวกันบ้างค่ะ ก็มีกันอยู่สองคนนี้เน๊าะ ^[+++]^

ได้เวลากลับบ้านแล้วพี่ๆก็จะมาอนุโมทนาบุญกับพวกเราด้วยทุกครั้ง :)

เมื่อเรียนครบหลักสูตรก็ถึงวันปัจฉิม ทุกคนก็ตั้งใจกันขอบคุณและขอขมาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งพระอาจารย์หลวงพ่อฯ อาจารย์ผู้สอน ครูพี่เลี้ยง และเพื่อนร่วมชั้นเรียน ในระยะเวลาที่ได้เรียนด้วยกันมาตลอดหกเดือน

และทุกคนก็คงอยากทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆของเพื่อนร่วมชั้นเรียนหลังเรียนหลักสูตรนี้ด้วยกันว่าใครเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งชอบฟังของทุกคนเลยค่ะ

วันสุดท้ายก็เป็นพิธีรับของที่ระลึกหลังเรียนจบหลักสูตร (หีบห่อดูแพงไหมคะ 555) เย้ๆ จบแล้วน้าาา :)

และก็ต้องถ่ายรูปหมู่กันซักหน่อยเน๊าะคะ ร๊ากกกก

ถ้าสนใจก็ลองดูรายละเอียดที่แนบมาด้านบนได้เลยนะคะ มีหลายสาขาอยู่นะคะ ขอบคุณค่ะ