คุณวิเศษของการทำสมาธิ
หากจะพูดถึงกลไกธรรมชาติที่น่ามหัศจรรย์ของมนุษย์ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึง ร่างกาย และ จิตใจ ที่ทำงานสัมพันธ์กันอย่างดี ทำให้มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
ในปี พ.ศ. 2541 องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ให้ความหมายของคำว่าสุขภาวะ (Health) ไว้ว่า หมายถึง “ภาวะที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ ความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคม และสุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงปราศจากโรคและความพิการเท่านั้น” ทำให้เห็นว่ามุมมองที่มีต่อสุขภาพกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาขีดความสามารถและการดูแลรักษาสุขภาพนั้น ต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีวิธีการต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เพราะยังเป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นลักษณะนามธรรม แต่พบว่ามีวิธีการหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือ “การทำสมาธิ” ซึ่งมีความพยายามนำมาอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ และจากงานวิจัยต่างๆ ได้แสดงให้เห็นป็นที่ประจักษ์ว่า สมาธิเปรียบเสมือนวิธีในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกๆ องค์ประกอบ ตามคำจำกัดความของสุขภาวะ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
สำหรับตัวผู้เขียนเมื่อปัจจัยต่างๆ เกื้อหนุนกันมากพอ จนทำให้วันหนึ่งผู้เขียนเกิดความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จึงได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะวิธีการดับทุกข์หรือ อริยสัจสี่ เมื่อได้ศึกษาและใคร่ครวญมากพอ จึงเกิดศรัทธาและได้เริ่มปฏิบัติจริง ต่อมาได้ตัดสินใจสมัครเข้าอบรมหลักสูตรวิทันตสาสมาธิ รุ่นที่ 9 สาขา 175 เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองได้ใคร่ครวญธรรมะอย่างต่อเนื่อง และได้ฝึกปฏิบัติสมาธิร่วมกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ซึ่งในขณะที่ใช้วิธีการพิจารณากายในกายนั้น ทำให้เกิดการคลายกำหนัดยึดถือ ทำให้อารมณ์ต่างๆ ดับไป และจิตเริ่มเป็นสมาธิ รับรู้ถึงลมหายใจที่ละเอียด และเกิดปิติตามมา โดยพยายามประคองความรู้สึกถึงความว่างนี้ไว้จนครบ 30 นาที และหลังจากออกจากสมาธิก็ได้แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ไปทั่วทุกทิศ การปฏิบัติดังกล่าวเกิดผลดีแก่ผู้เขียนดังนี้
1. นอนหลับสนิท ทำให้หลังตื่นนอนจะรู้สึกเป็นสุข เบิกบานใจ ทำให้ค้นพบว่ามนุษย์สามารถสร้างความสุขได้ด้วยตนเองและเป็นความสุขที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้จากสิ่งภายนอก
2. มีสติมากขึ้น เช่น ในการรับประทานอาหารจะไม่รับประทานอิ่มจนเกินไป เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่ค่อยเจ็บป่วย และทำให้มีผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ได้รับทุนการศึกษา สร้างความภาคภูมิใจให้ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หากมีอารมณ์ที่ไม่ดีมากระทบ ก็สามารถละทิ้งความรู้สึกลบนั้นและมีสติกลับมาตั้งอยู่ ณ ฐานที่ตั้งของจิตได้โดยง่าย
3. มีอารมณ์เบิกบาน ปลอดโปร่ง แจ่มใส เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ สามารถปล่อยวาง ไม่ยึดติดหรืจมอยู่กับความทุกข์
4. มีความสุข เพราะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับผู้อื่น ทำให้โลกรอบข้างดูสดใสมีชีวิตชีวา เหมือนสิ่งต่างๆ กำลังส่งยิ้มมาให้ ทำให้ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่พร้อมจะส่งไปให้คนรอบข้างได้อย่างจริงใจ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนออกมาจากจิตใจภายใน จึงดึงดูดให้ผู้คนรอบข้างอยากเข้ามาทำความรู้จัก
5. คลายความเครียดหรือความวิตกกังวล เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้เขียนมีลักษณะเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง แต่จากการทำสมาธิ ทำให้พัฒนาเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น คือไม่อาลัยอาวรณ์กับอดีตนักหรือวิตกกังวลกับอนาคตมากจนเกินไป ซึ่งเกิดจากการรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
6. มีเมตตา กรุณา มากขึ้น ทำให้นึกถึงผู้อื่นและส่วนรวมมากขึ้น จึงได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นสวัสดิการนักศึกษาซึ่งตอนนั้นแม้การทำหน้าที่นี้จะต้องใช้ความอดทนมากแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และหากมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่นก็จะพยายามถ่ายทอดให้พวกเขาเข้าใจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด รวมถึงเมื่อต้องตัดสินใจทำสิ่งใดก็จะพิจารณว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่นด้วยเช่นกัน
7. ลดอัตตา เพราะจะมองทุกอย่างเป็นองค์รวมว่ามีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และเห็นตนเองเป็นกลไกเล็กๆในธรรมชาติที่การตายจากไปนั้น ไม่ได้มีผลต่อธรรมชาติแม้แต่น้อย เพราะธรรมชาติก็ยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ ทำให้ไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางเมื่อเกิดปัญหาหรือความทุกข์ใจใดๆ จะสามารถกลับมาพิจารณาในส่วนนี้ได้
8. เป็นบุญกุศล ที่ได้จากการละเว้นจากความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล จึงสามารถแผ่บุญกุศลและแผ่เมตตาให้กับทุกสรรพสัตว์ทั่วทั้งสากลโลกได้
กล่าวได้ว่าจากการปฏิบัติสมาธิที่ผ่านมาของผู้เขียนนั้น สามารถสร้างคุณวิเศษที่ส่งผลดีให้กับสุขภาวะครบทุกองค์ประกอบตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลก ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ และหากทุกคนบนโลกใบนี้ร่วมกันสร้างคุณวิเศษจากสมาธิเพียงแค่เปลี่ยนตนเองให้เริ่มปฏิบัติจริง เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ร่วมกันได้ โลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสงบและความสันติสุขยิ่งขึ้นไป
ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยัง สิรินธฺโร ที่ได้เมตตาเผยแผ่หลักสูตรสมาธิไปทั่วทุกย่อมหญ้า เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้พบเจอกับหนทางสว่าง สามารถพึ่งพาตนเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ และขอขอบพระคุณครูผู้สอนและครูพี่เลี้ยงทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์นี้ ให้สามารถดำรงอยู่และแผ่ขยายกว้างไกลไปในอนาคต
หากใครสนใจเข้าร่วมการเรียนหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยัง สิรินธฺโร สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=MrIUO-AwZR4
https://web.facebook.com/SomsakTrungjitrarat/
ภาพบรรกาศตอนเรียนหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อฯ สาขามหิดล