April 24, 2021

เทรนด์ขั้นตอนการทำ SEO ปี 2021 ทำยังไง ให้ติดหน้าแรกแบบทนทานของ Google


นิยามของวิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimiztion กำลังจะเปลี่ยนไป นับจากนี้จะเป็นการก้าวสู่การสร้างประสบการณ์การของการค้นหาผู้ใช้งานที่เหมาะสมกับปัญหา หรือการค้นหาที่ตรงกับคำตอบเยอะที่สุด

โดยย้ำการมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน (Search Experience Optimization) และการใส่คีย์เวิร์ด (Keyword) ในบทความกลายเป็นเพียงแต่ส่วนช่วยสำหรับการทำ SEO เท่านั้นเองครับ

กระบวนการทำ SEO เป็นอย่างไร
แนวทางการทำ SEO หรือ Search Engine Optimiztionหมายถึงการวางแผนปรับปรุงระบบ คิดแผนปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเว็บไซต์ ที่สังกัดมูลเหตุต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วในการเข้าเว็บไซต์ (Pagespeed) หรือสมรรถนะ (Quality) แล้วก็เนื้อหาของเว็บไซต์ (Content) ให้รองรับในสิ่งที่ต้องการของ Search Engine และผู้ใช้งานทั่วโลกและก็ถ้าเกิดจะว่าจ้างทำ SEO ก็ความเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดีมีคุณภาพด้วยรวมทั้งจำเป็นต้องมองเว็บของตนเพราะว่าทำถูกแนวทาง Google หรือเปล่าเช่นไร เพราะว่าถ้าเกิดทำเว็บไซต์เองบางทีก็อาจจะไม่ดีพอๆกับการว่าจ้างออกแบบเว็บไซต์ หรือ บริษัทวางแบบรับพัฒนาเว็บไซต์ครับผม

ที่มาของคำว่า Search Experience Optimization ขณะนี้เป็นการผลิตประสบการณ์การค้นหาที่ตอบปัญหาแล้วหลังจากนั้นก็ตรงประเด็นให้กับ Search Engine แล้วหลังจากนั้นก็ผู้ใช้งาน

ผลที่เกิดขึ้นจากการสำรวจทรงของ Search Engine Market Share (ส่วนแบ่งการตลาดระบบค้นหา) ของโลก โดยมีข้อมูลจาก gs.statcounter พบว่า Googleเป็นSearch Engine ที่มีหญิงรับใช้เยอะที่สุดในโลกหมายความว่า92.5% ทิ้งห่าง Bing ที่มีเพียง 2.78%

เทรนด์ที่น่าจะเฝ้าอย่างเข้มข้น เพื่อนำมาพินิจพิจารณาสำหรับเพื่อการทำ Keyword แล้วก็ SEO ก็เลยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยผมขอสรุปสั้นๆดังนี้

เทรนด์การทำ SEO ในปี 2021
1. Featured Snippets
แนวทางการทำความรู้ความเข้าใจผู้ใช้งานจากการคิดพินิจพิจารณาเพื่อสร้างคำตอบให้ “ยอดเยี่ยม” บน Search Engine จะช่วยปรับคุณติดอันดับในหน้าแรกแล้วก็ถูกเลือกเป็น “ตัวเลือกแรกของระบบการค้นหา” โน่นเป็นชั้นศูนย์ (Zero Position) หรือเรียกว่า Featured Snippets

• ทำไมจำเป็นจะต้อง Featured Snippets
ขอยกตัวอย่างการค้นหา “วิธีการทำใบกะเพราไก่ไข่ทอด” เมื่อเราค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ จะเห็นได้ว่าตำแหน่งการแสดงผลข้างบนสุดของการค้นหา ไม่ใช่การซื้อโปรโมท Search Ads อีกต่อไป แต่เป็น Fetured Snippets หรือชั้นศูนย์ แล้วเพราะเหตุใดก็เลยเป็นอย่างนั้น?

ภาพการตำหนิดชั้น Featured Snippets
เพราะเหตุว่า Featured Snippets เป็นฟังก์ชั่นที่ Google ทำศึกสงครามษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานนับเป็นเวลาหลายปีรวมทั้งที่ที่เกิดจากการเรียนของ Ahrefs เจ้าพ่อ SEO Tool ยอดเยี่ยมพบว่า

เมื่อเราค้นหาคำตอบ Featured Snippets จะปรากฎอยู่ที่ 12.3% คิดเป็นคร่าวๆ 14 ล้านครั้ง จากการค้นหาทั้งปวง 112 ล้านครั้ง โดยในปี 2019 มีการบอกผลลัพธ์แบบ Fetured Snippets เพิ่มเป็น 20%

source : authorityhacker
การวัดผลอัตราการคลิกหรือ CTR% ของเนื้อหาที่ติดอันดับ Featured Snippets พบว่าเนื้อหาในตำแหน่งนี้ ทำให้อัตราการคลิกเนื้อหาชั้น 1 ของ Google Search ต่ำลงถึง 8.6% แสดงว่า Featured Snippets ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อการแสดงผลของชั้น 1 นั่นเอง

• คุณลักษณะเด่น ข้อตำหนิของ Featured Snippets
คุณลักษณะเด่น : ถ้าเกิดเว็บไซต์คุณอยู่ในตำแหน่ง Featured Snippets จะมีผลให้คนรู้จักกันเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น เว็บไซต์คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดอันดับ 1-10 คุณก็จะได้ติดอันดับในหน้าแรก แถมพาให้หน้าอื่นๆที่เชื่อมติดอันดับไปด้วย ซึ่งพูดได้ว่าเนื้อหาของเว็บไซต์คุณเป็นคำตอบที่ตรงจิตใจ Search Engine เยอะที่สุด

สามารถตอบปัญหา จัดการกับปัญหาให้ผู้ใช้งานเจริญรุ่งเรืองที่สุดนั่นเอง จากการวิเคราะห์ด้วยระบบอัลกอริทึมของ Google Search ก็เลยทำให้คุณติดอันดับศูนย์ (Zero Position)

จุดบกพร่อง : Featured Snippets จะสรุปข้อมูลมาบอกผลลัพธ์บน SERPs ให้อ่านในทันทีทันใด โดยไม่ต้องกดคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ ก็เลยก่อให้เกิดผลเสียนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเสียผู้ใช้งานเว็บไซต์ในปริมาณเล็กน้อย

เพราะเหตุว่าผู้ใช้งานได้รับคำตอบตั้งแต่บนหน้าแสดงผล SERPs เป็นที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว วิธีแก้ไขเป็นคุณจำเป็นจะต้องเขียนคำตอบอย่างระแวดระวังแล้วก็มีความยาวราวนึง โดยย้ำเนื้อหาให้ยาวถึงแม้ควรจะมีคุณภาพ จะช่วยทำให้ปรับคนคลิกเข้ามาอ่านเพิ่มมากขึ้น(ราว 1,500 ถึง 3,000 คำ)

• อยากได้ติด Featured Snippets ทำเช่นไร
วิธีทำ Featured Snippets นั้นยังกำกวมมากเท่าไรนัก เนื่องแต่การตำหนิดชั้นของฟังก์ชั่นนี้ ระบบอัลกอริทึมของกูเกิ้ลเป็นตัวตกลงปลงใจว่า เนื้อหาใดเป็นคำตอบที่สุดยอด แม้กระนั้นพอเพียงจะมีแนวทางดังนี้
เขียนเนื้อหา และก็ทายใจปัญหาเพื่อสร้างคำตอบให้ตรง โดยย้ำการจัดการปัญหาผู้ใช้งานและมุมานะเขียนเนื้อหาของบทความที่เป็นคำตอบให้ได้ภายในพารากราฟแรก
จัดส่วนประกอบของเว็บไซต์ให้ดี โดยใช้หลัก SEO friendly ตามข้อกำหนดหลักของการทำ SEO เป็นให้มีต้นสายปลายเหตุต่างๆอย่างสมบูรณ์อีกทั้ง H1, H2, H3, Meta Description, Meta tags, Internal link, external link, Table, Breadcrumb มีการเรียงลำดับส่วนประกอบของบทความ มีหัวข้อ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าวางใจ
ประเมินว่าบทความของคุณตอบปัญหาที่คนน่าจะค้นหาหรืออยากได้ถาม ยกตัวอย่างเช่น วิธีการใช้งาน วิธีการทำ หรือคำตอบอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นไปได้ หรือจะเป็น Evergreen Content ก็ได้

2. มาตรฐาน WebP Image
ไฟล์ที่เป็นไฟล์ภาพสกุล WebP ปรับแก้โดย Google ตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งก่อนหน้านั้นมี WebM มาก่อน เป็นการใช้ไฟล์กับวีดีโอ ที่มุ่งมาดปรารถนาบีบอัดขนาดโดยการนำภาพมาเรียงต่อกันรวมถึงให้วิ่งเป็นวีดีโอ

ต่อมาถูกปรับปรุงเป็น WebP เพื่อใช้กับภาพนิ่งรวมถึงในอนาคตจะกลายเป็นภาพมาตรฐาน เพื่อแสดงผลบนเว็บไซต์ทั่วโลก เทรนด์การพัฒนา SEO ในปี 2020 ก็เลยหนีไม่พ้นวิธีการทำไฟล์ที่เป็นรูปภาพจำพวกนี้

• คุณสมบัติและลักษณะเด่นของ WebP Image
WebP เมื่อปรับแบบ lossly จะมีขนาดเล็กกว่า jpg ถึง 25-34% ซึ่งไฟล์ที่เป็นไฟล์รูปภาพของ webP นั้นเกือบไม่เห็นความแตกต่างเลยเมื่อแสดงผลบนหน้าจอเว็บไซต์

และยังคงแสดงผลแบบพื้นด้านหลังโปร่งใสเหมือนกับไฟล์สกุล png ได้ หากแม้บราวเซอร์ที่รองรับ WebP ตอนนี้มีแค่เพียง Chrome รวมถึง Opera สำหรับค่ายอื่นมีความคิดว่ากำลังปรับแก้อยู่ด้วยเหมือนกัน (Google เกื้อ)

3. การใช้ AI อย่างเต็มระบบ
การประมวลผลสำหรับในการทำ SEO ด้วย AI Google เป็นตัววิเคราะห์เองว่าเนื้อหาที่ผู้ใช้งานกำลังค้นหาหรือสร้างอยู่มีความถูกต้องชัดเจนไหม มีประโยชน์มากแค่ไหน

แล้วก็การวิเคราะห์ดาต้า ขั้นตอนการทำ Data Mining การผสานการทำงานของระบบ Machine Learning (ML) กับแหล่งข้อมูลสตรีมมิ่งเพื่อการคาดหมายแบบเรียลไทม์

4. Voice Search
Voice Search เป็นการ “ค้นหาด้วยภาษาพูด” ของมนุษย์ได้มากขึ้น เนื่องจากโปรแกรมเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งสามารถจับคำกล่าวของเราได้แบบสบายๆแม้ว่าจะหลายเชื้อชาติ หลากภาษา

โปรแกรมสามารถค้นหาตามภาษาพูดของผู้ใช้งานได้มากขึ้น ทำให้การใช้แรงงาน Voice Search จะเยอะขึ้นเรื่อยๆภายหลังจากนี้และนำไปสู่การใช้ Long Tail Keyword จำนวนมากขึ้น

5. Long-Form Content
ลืมความเลื่อมใสศรัทธาแบบเดิมๆไปได้เลย เมื่อกรุ๊ปปรับแก้มีชื่อเสียงอย่าง Semrush ได้ทำการศึกษามาแล้วและพบความจริงของระบบดังนี้

บทความ SEO ที่มีจำนวนคำตั้งแม้กระนั้น 3,000 คำขึ้นไป ได้รับการเข้าชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 3 เท่าตัว รวมทั้งได้ช่องได้รับ Backlink กลับมาที่เว็บไซต์มากกว่าบทความที่มีจำนวนคำไม่ถึง 1,000 คำ อ่านบทความ Backlink เป็นยังไง
บทความที่สั้นกว่า 300 คำ มีอัตราแชร์เป็น 0 ซึ่งมากกว่าบทความที่มี 3,000 คำ ถึง 4.5 เท่า
บทความที่ลือชื่อด้วยปริมาณ ดังเช่นว่า “7 กระบวนการแต่งบ้าน” หรือ “ผูกรวมที่เที่ยวภาคเหนือ” เป็นหัวข้อบทความที่ทำให้ผู้ชมมีความคิดว่ามีคุณภาพและอัดแน่นไปด้วยข้อมูล มีอัตราการเข้าชมเยอะแยะเป็น 2 เท่า