JK-201005-02
MONEY RICH 88
ล่องไพร ภาค 2 ตอนที่ 2 ยิงปลา
เราออกติดตามรอยมหิงสาตัวนั้นต่อไป ชั้นแรกในป่าโปร่งถัดขอบทุ่งแห่งหนึ่งซึ่งต่อเนื่องไปจนเกือบถึงลำธารเหนือแค้มป์เราต่อมาก็โป่งหินซึ่งมันไม่ได้แวะกินอีกเลย จนกระทั่งถึงลำห้วยเล็ก ๆ ปรากฏรอยเท้าซึ่งรางเลือนตลอดมาและรอบห้วยน้ำน้อย ๆ ในลำห้วยนั้น ครั้นแล้วก็ขึ้นฝั่งขวาแน่วตามด่านไปผ่านไหล่เขาห้วยน้ำนั้นกลับลงตะวันตกอีกการติดตามยิ่งเป็นไปด้วยความยากลำบากและช้าลงทุกทีเพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายนอกจากรอยแผ่ว ๆ บนพื้นลูกรังร่วน และแข็งในบางแห่งหรือรากไม้ที่ลอกไปสุด ๆ ในบางตอน จนกระทั่งถึงดินซุยและอ่อนจึงจะแจ้งสักครั้งเท่านั้น
3 ชั่วโมงผ่านไปโดยเรามิได้พักและก็มิได้ใกล้เหยื่อที่เราติดตามเข้าไปเลย ในที่สุดข้าพเจ้าจึงสั่งหยุดเพื่อสูบบุหรี่และกินน้ำตาเกิ้นยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางพึมพำว่า ยิงปลา
“ดู ๆ มันจะเข้าตำราอีตอนตามอ้ายเกเสียอีกแล้วละนาย
ข้าพเจ้า “อ้ายเกเป็นสัตว์ฉลาดเป็นมนุษย์กลับชาติมาเกิด ถ้าจริงอย่างส่วยมณีว่าและเมียววดีว่าฉะนั้นจะเอามาเทียบกับมหิงสาตัวนี้ ไม่ได้ นี่มันควายถึงจะดุร้ายทรหดและเต็มไปด้วยสัญชาตญาณของเพชฌฆาตเพียงไร มันก็ควายดี ๆ นี่เองคงไม่ทิ้งนิสัยเดิมไปได้อย่างไร เสียก็คงคิดสู้มากกว่าจะคิดหนี ไม่มีสติปัญญาที่จะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเรา”
ตาเกิ้น “ในระยะ 10 ปีหลังนี่ ตาเกิ้นเพิ่งได้ข่าวมหิงสาจริง ๆ ก็ครั้งนี้แหละดูรอยของมันรู้สึกว่าจะใหญ่กว่าที่พ่อตาเกิ้นเคยยิงได้ด้วยซ้ำไป”
ในเรื่องขนาดของมันนั้นเป็นที่คาดหมายกันว่ามหึมาแน่ ตั้งแต่เจอะรอยครั้งแรกตรงที่ ดร.สมิทยิงแล้ว เราพักกันอยู่ไม่ถึง 5 นาทีดี ข้าพเจ้าก็ชวนตาเกิ้นออกเดินทางต่อไปตามไหล่เขาซึ่งโปร่งกว่าตอนล่าง จนกระทั่งข้ามสันเนินเตี้ย ๆ วกกลับไปสู่ชายทุ่งอีกตามความสังเกตของข้าพเจ้า ขณะนั้นเรากำลังเดินเป็นรูปครึ่งวงกลม ซ้ายมือออกไปเป็นหุบเขา ใหญ่ซึ่งเหยียดยาวไปจนจดเชิงมอโกจูส่วนทางขวาลาดลงไปสู่ลำห้วย ฉะนั้นอย่างไรเสียมันก็คงไม่ไปไกลโดยนิสัยมหิงสาเป็นสัตว์ชอบน้ำและพยายามหลีกเลี่ยงจากแสงแดดกล้า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าข้าพเจ้าจะพบมันในภูมิประเทศเช่นไร ในเวลาเช่นนั้นความสำนึกนี้เพิ่มความหวังเมื่อมีหวังกำลังพลังก็ติดตามมาด้วย แต่ในขณะเดียวกันรอยของมันตามค่านที่เดินก็จางลงทุกที บางแห่งเราต้องใช้เวลาอยู่หลายนาทีก่อนที่จะวินิจฉัยก้าวต่อไป หลายครั้งรอยเท้าใหม่ ๆ ของโขลงช้างซึ่งปีนั้นไม่รู้ว่าแตกตื่นลงมาแต่ไหนเปรอะทับรอยไปหมด จนเกือบสุดวิสัยที่เราจะแยกรอยมหิงสาตัวนั้นออกจากกันได้และหลายครั้งรอยเท้าและชี้ใหม่ ๆ ของวัวป่าชัดกว่าให้ทิ้งเจตนาเดิมเสียให้ได้ ตาเกิ้นพร่ำบ่นไม่ขาดปากว่า
วัวป่าชัดกว่าให้ออกจากกันได้และทดจนเกือบสุดวิสัยจนรู้ว่า“รอยอย่างนี้ ถ้าในชั่วโมงสองชั่วโมงไม่ได้ลั่น ตาเกิ้นจะยอมให้หักคอ”
ข้าพเจ้า “ข้อนั้นน่ะเก็บไว้ให้เป็นหน้าที่ของยายตาเกิ้นดีกว่าเรายังมีกวางที่ยิงได้เมื่อเย็นวานเป็นอาหารอยู่ที่แค้มป์อีกทั้งตัวจะตามวัวไปหาหอกอะไรให้ป่วยการ” ยิงปลา
ตาเกิ้น “งั้นก็ควานอ้ายควายตัวนี้ต่อไป”
ในราวบ่าย 4 โมงเศษ รอยเท้าซึ่งทรมานตาและใจรอยนั้นก็พาเราสู่เชิงเขาเตี้ย ๆ และหนองน้ำซึ่งมีแต่หนองถึงกระนั้นดินก็ยังเปียกพอที่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ามันเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี่เอง นัยน์ตาของตาเกิ้นเป็นประกายวาว ยกมือขึ้นเกาเคราซึ่งไม่เคยแตะต้องกับมีดโกนมาร่วมเดือนและยิ้มอย่างเด็ก ๆ ว่า
“แถวนี้นาย! แถวนี้แหละ... เดี๋ยวได้ลั่น”
แต่อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไปเราก็ยังไม่ได้วี่แววของมหิงสาเจ้ากรรมตัวนั้น นอกจากรอยที่เดินคุ้ม ๆ เป็นไปตามทาง เดี๋ยวลงล่างเดี๋ยววกขึ้นบน วนอยู่ระหว่างลำห้วยสายนั้นกับเชิงเขา ความปลอบใจอย่างเดียวของเราอยู่ที่ว่ามันไม่ได้ตั้งหน้าแน่วไปทางไหนและถ้าเราอ่านนิสัยของสัตว์ถูก ขณะนั้นก็คงจะนอนพักอยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใด เพียงแต่ก่อนที่จะเข้าให้ถึงตัวมันได้ เราจะต้องพิจารณาร่องรอยที่มันทิ้งไว้ให้แตกเสียก่อน ยิงปลา
ขณะนั้นเรากำลังอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยป่าโปร่ง ๆ สลับไปด้วยซุ้มไม้ทึบ ๆ เป็นหย่อม ๆ ฟังเสียงโขลงช้างหักกิ่งไม้และเถาวัลย์อยู่ห่างออกไปข้างหน้า ข้าพเจ้าเองเกือบจะท้อใจเพราะรอยมหิงสาตัวนั้นหายไปอีกจะเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วจำไม่ได้ ในขณะเดียวกันตาเกิ้นก็ยิ่งพล่านเหมือนสุนัขไล่เนื้อ แกเดินไปข้างหน้าตามด่าน แกย้อนกลับมาอีกข้างหลัง เดี๋ยวแยกออกทางซ้าย เดี๋ยวกลับมาทางขวาแล้วก็ยกมือขึ้นเกาหัว กระซิบเบา ๆ ว่า
“ประหลาดแท้ ๆ” “ประหลาดอะไร?” ข้าพเจ้าซัก “มันหายไปเฉย ๆ ซินาย”
เรากวาดสายตาไปรอบตัวทุกหนทุกแห่งเงียบสงัด นอกจากช้างเจ้ากรรมตัวนั้น เสียงของมันรบกวนประสาทพอใช้แต่อะไรก็ไม่ทรมานใจเท่ากับว่าภายหลังที่ดูเหมือนอยู่ใกล้เหลือเกิน ในที่สุดมหิงสาตัวนั้นกลับสาบสูญไปราวกับละลายหายไปในอากาศไม่ทิ้งแม้วี่แววหรือร่องรอยใด ๆ ไว้ให้ ยิงปลา
กำลังยืนลังเลกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตาเกิ้นซึ่งอยู่หน้าข้าพเจ้าก็ทำหูชันขึ้นมา ข้าพเจ้าแว่วเสียงนั้นเหมือนกันเพียงแต่ไม่แน่ใจ ราว 2-3 นาทีผ่านไปเหมือนอสงไขย ในที่สุดเสียงนั้นก็ปรากฏขึ้นอีก เป็นเสียงฟืดและเสียงกิ่งไม้หักเบา ๆ ข้าพเจ้าว่ามาจากซุ้มไม้ทางขวา แต่ตาเป็นชี้มือไปทางเชิงเขาซึ่งเป็นป่าทึบข้างซ้าย ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตา ไปรอบตัวด้วยความระมัดระวังฝุ่นที่เราหยิบขึ้นไปโปรยหาทางลมแสดงว่ามันกำลังพัดมาทางเรา ข้าพเจ้าเองแน่ใจในซุ้มไม้ซุ้มนั้นหนักหนาเพราะฉะนั้นจึงพยายามจ้องอยู่แต่ที่นั่นแต่ก็ไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือความเคลื่อนไหวอะไร ไม่ว่าจะเป็นที่ผิดแปลกออกไปจากสีของใบไม้หรืออาการกระดิกของใบหู เราอยู่ในการเตรียมตัวเช่นนั้นเกือบ 5 นาทีเต็ม ๆ โดยไม่มีอะไรกระโตกกระตาก จนกระทั่งคิดว่าอุปาทานทำให้หูแว่วผิดไปแน่ จึงพากันลดปืนเดินก้มหน้าหารอยเจ้ามหิงสาตัวนั้นต่อไป